Search Engine Optimization (SEO) เป็นการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเพจ เพื่อที่จะเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ผ่านเครื่องมือค้นหามากขึ้น เช่น ผ่านหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Google เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมอย่างถูกต้องและอยู่ในตำแหน่งที่สูง จะได้รับการเข้าถึงมากขึ้นในแต่ละเดือน และหวังว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนการติดต่อจากลูกค้าผ่านเว็บไซต์มากขึ้นไปด้วย ก่อนที่คุณจะมองหาบริษัทรับทำ SEO คุณต้องเข้าใจวิธีการทำงานของเครื่องมือค้นหาก่อน และทำความเข้าใจวิธีการทำงานของ SEO อย่างถ่องแท้
SEO ทำงานอย่างไร?
วัตถุประสงค์หลักของ SEO คือการแสดงให้เครื่องมือค้นหาเห็นว่าเนื้อหาของคุณให้คำตอบสำหรับสิ่งที่มีการค้นหา เหตุผลนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา เครื่องมือค้นหาทั้งหมดต้องการให้ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องและดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งาน อย่างไรก็ตามวิธีการทำ SEO ของคุณจะขึ้นอยู่กับเครื่องมือค้นหาที่คุณโฟกัสซึ่งโดยปกติจะเป็น Google หรือในกรณีของวิดีโอก็คือ YouTube โดยปกติแล้วถ้าคุณปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหาที่คุณโฟกัส จะช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
พื้นฐานสำหรับการปรับเว็บไซต์สำหรับ Google
แม้ว่าเราจะไม่ทราบว่า Google มีปัจจัยการจัดอันดับกี่ประการ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามีมากกว่า 200 รายการหรือที่สงสัยกันว่าอาจจะถึง 10,000 เราทราบปัจจัยเหล่านี้บางประการเนื่องจาก Google ได้บอกเราและบางอันก็เป็นที่ยอมรับกันเองในอุตสาหกรรม ประเด็นสำคัญที่สุดประการแรกที่คุณต้องเข้าใจคือ Google จัดอันดับหน้าเว็บแต่ละหน้าโดยเทียบกับเว็บไซต์ที่มีทั้งหมด ด้วยเหตุนี้คุณจึงไม่จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ดที่คุณโฟกัสในทุกหน้า เราขอแนะนำให้คุณกำหนดเป้าหมายคีย์เวิร์ดที่แตกต่างกันในแต่ละหน้ากันไป
ปัจจัยหลักในการจัดอันดับ
1. Google สามารถรวบรวมข้อมูลบนหน้าเว็บของคุณได้ง่ายแค่ไหน
เพื่อให้ Google สามารถแสดงหน้าเว็บของคุณใน SERPs (Search Engine Results Page) หรือหน้าแสดงผลลัพธ์ อันดับแรก Google จำเป็นต้องรู้ว่ามีเนื้อหาของคุณอยู่ วิธีหลักในการดำเนินการของ Google คือการcrawl หรือ อ่านเพื่อรวบรวมข้อมูล ซึ่งเป็นการติดตามลิงก์ไปยัง – จาก หน้าที่มีการเข้าชมก่อนหน้านี้ ทำโดยโปรแกรมที่เรียกว่าสไปเดอร์ และสไปเดอร์จะติดตามลิงก์ย้อนกลับบนหน้าเว็บใดหน้าหนึ่งของคุณ เช่นหน้าแรก ไปยังหน้าที่ Google จัดทำดัชนีไว้แล้ว จากที่นี่ Google จะค้นพบเนื้อหาในหน้านั้นและเพิ่มลงในดัชนีรวมทั้งติดตามลิงก์ภายในเพื่อค้นหาหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของคุณ
โดยปกติกระบวนการจะค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ปัจจัยบางอย่างสามารถหยุดโปรแกรมการ crawl ได้ นั่นก็คือลิงก์ภายในคุณภาพต่ำ ลิงก์ “nofollow” และการปิดกั้นใน robot.txt ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องตรวจสอบลิงก์ทั้งหมดของคุณอย่างรอบคอบ
2. เว็บไซต์ของคุณ mobile – friendly หรือไม่
การค้นหามากกว่า 60% ดำเนินการบนอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือมือถือ และนี่คือสิ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2016 Google เล็งเห็นถึงจุดนี้ และ ในปี 2017 การจัดทำดัชนีสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้กลายมาเป็นปัจจัยในการจัดอันดับ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเมื่อผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณจากมือถือ พวกเขาต้องการเห็นเว็บไซต์เวอร์ชั่นที่ปรับมาเพื่อมือถือโดยเฉพาะ โดยประมาณ 80% ของผู้ใช้ จะคลิกออกจากเว็บไซต์หากแสดงเวอร์ชันเดสก์ท็อปบนมือถือ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของ Google คือเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้งาน เว็บไซต์ที่แสดงเวอร์ชันเดสก์ท็อปจึงจะถูกลงโทษ
Google มีเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณตรวจสอบได้ง่าย ๆ ว่า เว็บไซต์ของคุณ mobile – friendly หรือไม่

3. ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
ด้วยโลกสมัยใหม่ที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างคาดหวังการตอบสนองในทันที ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นปัจจัยหลักในการจัดอันดับของ Google คุณสามารถตรวจสอบความเร็วในการโหลดหน้าเว็บของคุณได้โดยใช้เครื่องมือ Pagespeed Insights ของ Google
ในรายงานการตรวจสอบเว็บของคุณ คุณควรมองหาหน้าเว็บใด ๆ ที่โหลดช้า แล้วพยายามหาสาเหตุว่าทำไม อาจเป็นไปได้ที่รูปภาพมีขนาดใหญ่เกินไป หรือไม่ได้รับการปรับให้เหมาะสม

4. เจตนาในการค้นหา
หากคุณใช้เครื่องมือ keyword research ของกูเกิ้ล คุณจะสามารถหาคีย์เวิร์ดที่คุณอยากจะโฟกัสได้ง่าย ๆ พยายามมองหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณมากที่สุด แล้วตัดสินใจเลือกจากจำนวนการค้นหา อย่างไรก็ตามหน้าเว็บของคุณจะต้องสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่คุณเลือก หากไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนหน้าเว็บ ก็ไม่น่าจะได้รับการจัดอันดับโดย Google
เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น เราใช้ตัวอย่างของการค้นหา “สูตรอาหารไทย”

จากนั้นเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้จากการค้นหา “ อาหารไทย กรุงเทพ”

แม้ว่าการค้นหาจะดูคล้ายกัน แต่ผลลัพธ์จะแตกต่างกันมาก โดยรายการหนึ่งจะแสดงเฉพาะสูตรอาหารไทยและอีกรายการแสดงร้านอาหารไทย Google ได้พยายามตีความว่าเจตนาของผู้ใช้คืออะไรเมื่อพวกเขาทำการค้นหา ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เมื่อคุณเลือกใช้คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ดนั้นต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณนำเสนอด้วย
เราอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจตนาในการค้นหาและการทำ keyword research ในคู่มือ SEO ของเรา
5. Backlinks – แบ็คลิงค์
แม้ว่า แบ็คลิ้งค์ หรือลิงก์ย้อนกลับ อาจไม่ได้มีบทบาทสำคัญอย่างที่เคยเป็น แต่ลิงก์เหล่านี้ก็ยังคงมีความสำคัญในการพิจารณาความเกี่ยวข้องของเว็บไซต์ของคุณ
ลิงก์ย้อนกลับเป็นเหมือนคะแนนโหวต และยิ่งเพจของคุณได้รับการโหวตมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีอันดับที่สูงขึ้น โดยมีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างโดเมนที่อ้างอิงและปริมาณการเข้าชมตามธรรมชาติ ดังที่แสดงด้านล่าง

แม้ว่า การสร้างลิงก์จะเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา แต่ลิงก์ที่มีคุณภาพนั้นหายากกว่ามาก คุณควรตั้งเป้าหมายที่จะสร้างลิงก์ไปยังเนื้อหาที่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากที่สุด หรือคุณสามารถใช้คีย์เวิร์ดของคุณค้นหาใน Google แล้วค้นหาหน้าเว็บที่มีเนื้อหาคุณภาพที่ต่ำกว่า จากนั้นคุณควรติดต่อไปยังเว็บไซต์เหล่านั้นโดยอธิบายว่าเหตุใดการลิงก์ไปยังเนื้อหาของคุณจึงเป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากกว่า ในขณะเดียวกันก็สร้างลิงก์ใหม่ไปยังเว็บไซต์ของคุณด้วย เราพูดถึงการสร้างลิงก์ใน SEO ในบทความ คู่มือ SEO ของเรา
6. Domain Authority – คะแนนโดเมน
ลิงก์ย้อนกลับที่มีคุณภาพคือลิงก์ที่มีน้ำหนักและอิทธิพลมากกว่า ดูตัวอย่างการทำงานของ PageRank ดังแสดงในแผนภาพด้านล่าง:

หากคุณพยายามสร้างแบ็คลิ้งค์จากหน้าเว็บที่มีคะแนนสูงอยู่เสมอมันจะช่วยได้เยอะ น่าเสียดายที่ Google ลบคะแนน PageRank สาธารณะในปี 2016 ทำให้การรู้ว่าหน้าไหนมีคะแนนมากกว่านั้นอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย อย่างไรก็ตาม Ahrefs ได้สร้างเครื่องมือที่คล้ายกันที่เรียกว่าการให้คะแนน URL (UR ). การให้คะแนน UR อยู่ในระดับ 0-100 และมีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่าง UR และ organic search traffic.

คะแนนของหน้าเว็บของคุณไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากแบ็คลิ้งค์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงลิงก์ภายในที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มคะแนนของเพจ
7. คุณภาพของเนื้อหา
ไม่มีอะไรมาแทนที่เนื้อหาที่มีคุณภาพได้ และ Google มองหาเนื้อหาที่นำเสนอข้อมูลที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือ เมื่อคุณเขียนเนื้อหาควรมุ่งเป้าไปที่ระดับการอ่านระดับมัธยมต้น โดยเน้นที่ประโยคและย่อหน้าที่สั้นกว่า ควรแปะลิงค์แหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ตามความเหมาะสม
เราพูดถึงวิธีเขียนคอนเท้นสำหรับ SEO ในบทที่ 4 ของบทความ คู่มือ SEO ของเรา
การจัดอันดับ SEO ทำงานอย่างไร?
เราทราบดีว่า Google คำนึงถึงปัจจัยหลายประการซึ่งอาจส่งผลต่อการจัดอันดับบนหน้าผลลัพธ์ หรือ SERP ปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ สถานที่การค้นหา, การค้นหาก่อนหน้านี้, พร้อมกับการตั้งค่าการค้นหาของผู้ใช้งานตัวอย่างเช่น คุณอาจค้นหา “chips recipe” ในประเทศอังกฤษ และค้นหาอีกครั้งในสหรัฐอเมริกา ผลการค้นหาที่แสดงจะแตกต่างกันมาก เหตุผลก็คือคำเดียวกันมีความหมายไม่เหมือนกันในพื้นที่ต่าง ๆ

ในกรณีส่วนใหญ่ การจัดอันดับภายใน 2-3 หน้าแรก (20 – 30 ผลลัพธ์) จะผันผวนทุกวัน เนื่องจากหน้าเว็บส่วนใหญ่แข่งขันกันเพื่อให้ได้ตำแหน่งออร์แกนิกสูงสุด และแต่ละธุรกิจจะทำการเปลี่ยนแปลง SEO ในหน้าเพจและนอกเพจเว็บไซต์ของพวกเขา
เมื่อดูการจัดอันดับ SEO คุณกำลังดูผลลัพธ์ของการทำงานในช่วง 1-3 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องไม่ตื่นตระหนกหากคุณเห็นว่าตำแหน่งมีการลดลงเล็กน้อย หากมีการทำ SEO อย่างมีคุณภาพและสม่ำเสมอ โอกาสที่ตำแหน่งจะฟื้นตัวและปรับปรุงตำแหน่งให้สูงขึ้นนั้นมีมาก
ทำ SEO คุ้มมั้ย?
หากคุณอยู่ในอุตสาหกรรมที่สินค้าหรือบริการของคุณมีการค้นหา ดังนั้น SEO ควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของคุณ ไม่มีสิ่งใดมาแทนที่การจัดอันดับในตำแหน่งสูงสุดแบบออร์แกนิกได้ อย่างไรก็ตาม คุณควรมองหาการเพิ่มช่องทางการตลาดของคุณด้วยช่องทางอื่น ๆ เช่น Google Ads หรือ การโฆษณาบน Facebook เป็นต้น
เพื่อให้ประสบความสำเร็จใน SEO คุณต้องมีความรู้ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับวิธีการทำงานของเครื่องมือค้นหา สิ่งนี้จะช่วยให้คุณสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ แม้ว่าอัลกอริทึมของ Google จะมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง แต่คุณควรมุ่งเน้นไปที่ความต่อเนื่องและสร้างแบ็คลิ้งค์ที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ SEO คุณสามารถติดต่อเราได้ที่ 02 038 5400 เรายินดีที่จะพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการของคุณ เราเชี่ยวชาญด้าน SEO และโฆษณาออนไลน์ และสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณบรรลุเป้าหมายได้